16เม.ย.
ตำนานเทพกรีก : ตอนที่ 28 เมดูซ่า (Medusa)
Posted 16 เมษายน 2011 by HudchewMan in อ่านเพลินบันเทิงใจ. ใส่ป้ายกำกับ:ตำนานเทพเจ้า, เทพปกรณัม, เทพเจ้ากรีก. 1 ความเห็น

ในยุโรปสมัยโบราณ ยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งเป็นทัศนคติตามคริสตศาสนาที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่าเมดูซ่าเจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้
เมดูซ่านั้นแต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็นเจ้าป่า เจ้าเขาที่มีอำนาจ มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆ ทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่า dreadlocks) ที่ดูคล้ายงูในสังคมดึกดำบรรพ์ ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ภาพพจน์ของเมดูซ่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรีในสังคมกรีก
ในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีก จนมาถึงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศตวรรษ วิหารบูชา เมดูซ่าก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไปในภายหลัง ชื่อของเธอก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส แล้วชาวกรีกก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของเมดูซ่ามาให้เทพีอาเธน่าผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่าง คือรักษาพรหมจรรย์และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูนเทพปริณายกซูสพระบิดาเหนือตนเอง
ตามตำนานกรีกนั้นเมทิส แม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองสาว ทั้งเมดูซ่าและพี่สาวแต่เดิมนั้นเป็นสาวงามมาก ต่อมาเมทิสแม่ของนางถูกเทพเทพปริณายกซูสข่มขืนแล้วกลืนลงท้องไป เมทิสเป็นเจ้าแห่งปัญญา และสามารถแปลงร่างต่างๆ ได้ ซูสจึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของเมทิสมาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ช่วยให้ซูสมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้ในภายหลัง พลังของเมทิสสำลักออกทางหน้าผากของซูส กลายเป็นเทพธิดาอาเธน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจากเมทิสผู้เป็นแม่
ตั้งแต่เกิดมาอาเธน่าก็ถือเมดูซ่าเป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่าผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอมีสถานะเป็นเทพจึงฆ่าไม่ตาย อาเธน่าจึงหันมาหาทางทำลายเมดูซ่าแต่ผู้เดียว ในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด
วันหนึ่งในวิหารอาเธน่าที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆ ไป เทพีอาเธน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารีที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงามเมดูซ่าที่มีชายมากหลายหมายปองก็ไปบูชาเทพีอาเธน่ายังวิหารตามปกติ เทพโปเซดอนได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้วก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ อาเธน่าจึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่าบังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนางกลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชัง ขยะแขยงจนใครที่ได้เห็นจะต้องกลายเป็นหินไป เมดูซ่าทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอาย ก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้าโดยทำให้กลายเป็นหินไปจากการมองหน้าของนาง เป็นการตอบโต้ความอยุติธรรมที่ทำให้นางต้องรับชะตากรรมอันโหดร้ายเมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในตำนานกรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆ ของเมดูซ่าตามวิหารต่างๆ มากมาย
ผู้ที่ฆ่าเมดูซ่าได้คือ เปอร์ซีอุส เมื่อเปอร์ซีอุสตกหลุมรักโพลีเดคเทสก็ต้องออกล่าหาเมดูซ่า เพื่อตัดหัวมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับเทพอาเธน่า ซึ่งรอคอยหาคนมากำจัดเมดูซ่าให้อยู่นานแล้ว เพราะความเป็นเทพของนางทำให้ไม่สามารถไปแสดงอำนาจพาลได้ถนัด ยังต้องอาศัยเหตุผลข้ออ้าง และน้ำมือคนอื่นไปกำจัดศัตรูให้ กี่คนมาแล้วที่ต้องการไต่เต้าสร้างวีรกรรมที่ได้กลายเป็นหินไปหมด
ทันทีที่เปอร์ซีอุสมาเข้าทางตน เทวีอาเธน่าก็กุลีกุจอปรากฏตัวขึ้นทันทีเพื่อช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนกำจัดเมดูซ่าของนางโดยราบรื่น เจ้าแม่จึงช่วยบอกทางให้เปอร์ซีอุสไปยังซามอส อันเป็นที่พำนักของนางกอร์กอนสามพี่น้อง เทพีอาเธน่าก็ได้ประทานโล่ที่เป็นเงามันวับเหมือนกระจก แล้วช่วยให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อเปอร์ซีอุสจะได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และเตือนไม่ให้มองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะทำให้กลายเป็นหินไปเสียก่อน
จากนั้นเทวีอาเธน่าก็ให้อนุชาคือเทพเฮอร์มีส (ที่ชาวโรมันเรียกว่าเมอร์คิวรี่นั่นเอง) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ ซูสอีกผู้หนึ่ง ไปนำดาบโค้งของโครนัสมาให้เปอร์ซีอุสเพื่อใช้ฆ่าเมดูซ่า เพื่อให้เป็นหลักประกันว่าเปอร์ซีอุสจะปฏิบัติการได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆ อีก เจ้าแม่จึงช่วยบอกอุบายรายละเอียด และชี้ทางให้เปอร์ซีอุสไปหานางแม่มดสามพี่น้องแห่งเกรยี ผู้เป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาเพียงดวงเดียว และมีฟันเพียงซี่เดียว ต้องแบ่งกันใช้ แต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งตาแย่งฟันกันมาชั่วชีวิต เปอร์ซีอุสจึงอาศัยความชุลมุนจากการแก่งแย่งนั้น เข้าไปขโมยดวงตาและฟันพวกแม่มดเกรยีมา เพื่อบังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ แล้วจึงจะคืนตาและฟันให้
เมื่อเปอร์ซีอุสรู้ทางแล้วก็ไปหานางนิมฟ์ผู้ใจดี ผู้ให้ยืมรองเท้ามีปีกที่ทำให้เหาะได้ หมวกวิเศษที่ทำให้ล่องหนได้ และกระเป๋าวิเศษเพื่อไว้ใส่หัวเมดูซ่า เมื่อได้ของวิเศษต่างๆ แล้ว เพอร์ซีอุส ก็เข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงก็พบว่าเมดูซ่ากำลังนอนหลับกับพี่สาวทั้งสอง เปอร์ซีอุสก็ได้เทวีอาเธน่าที่ตามมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยถือโล่ให้จากภาพเงาของเมดูซ่าในโล่มันวับ เปอร์ซีอุสก็ตัดหัวเมดูซ่าขาดแล้วเก็บใส่ถุงวิเศษทันที เลือดไหลนองออกจากคอของเมดูซ่า ก่อกำเนิดเกิดออกมาเป็นม้ามีปีก เปกาซัส แล้วเมดูซ่าก็จบสิ้นความระทมทุกข์ทรมานจากชีวิตอันโหดร้ายของเธอ ส่งผลให้เพอร์ซีอุสกลายเป็นวีรบุรุษอมตะผู้ปราบมารของชาวกรีกไป
![]() |
ตอนที่ 1 กำเนิดเทพ (ตำนานเทพกรีก)วันนี้นำเรื่องเกี่ยวกับตำนานเทพกรีกมาให้อ่านกันค่ะ (อ่านไปอ่านมาระวังจะสับสนนะค่ะ เพราะตนเองอ่าน อ่านไปสักพักก็เริ่มงงชื่อ 55+) ไปเริ่มกันเลยค่ะ ตามความเชื่อของชนชาติกรีกโบราณ เชื่อกันว่า... อดีตกาล นานแสนนานมาแล้ว ไม่อาจนับเวลาได้ ย้อนหลังไปถึงยุคก่อนกำเนิดโลก สรรพสิ่งทั้งหลายยังเป็นเพียงความวุ่นวาย ที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่มหึมาจนหาขอบเขตมิได้ มีแต่ความมืดมิด ปราศจากรูปใดๆ เรียกว่า เคออส (Chaos) กาลเวลาล่วงมาอีกนานนับกัปไม่ถ้วน โลกพิภพจึงผุดขึ้นเป็นผืนแผ่นกว้างใหญ่ไพศาล เรียกว่า จีอา (Gaea) ซึ่งถือว่าเป็นจอมมารดาของสรรพสิ่งทั้งมวลเพราะถือกำเนิดขึ้นก่อนใคร ผืนแผ่นดินนี้มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และทำให้เกิดพายุได้ ต่อมา จีอาก็บันดาลให้เกิดแผ่นฟ้าที่ดาษดาไปด้วยดวงดาวขึ้นปกคลุมเหนือผืนแผ่นดิน เรียกว่า อูรานอส (Ouranos) ซึ่งถือเป็นจอมบิดาของสรรพสิ่งทั้งปวงคู่กับจอมมารดาจีอา และบันดาลให้เกิดขุมนรกที่มืดมิดและน่ากลัว เรียกว่า ทาร์ทะรัส (Tartarus) กาลเวลาผ่านมาอีกนับกัปไม่ถ้วน จอมมารดาจีอาและจอมบิดาอูรานอส จากที่เดิมเป็นเพียงธรรมชาติผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ก็ค่อยๆ กลายเป็นจอมเทพผู้ทรงอำนาจคู่แรก ทั้งสองร่วมกันเถลิงอำนาจอยู่ ณ สวรรค์โอลิมปัส ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านตั้งอยู่กลางแผ่นดินสูงขึ้นไปจนสุดชั้นฟ้า ต่อมาไม่นานจอมมารดาจีอาก็ให้กำเนิดเทพบุตร 6 องค์ คือ โอเซียนัส (Oceanus) ซีอัส (Coeus) ครีอัส (Creus) ไฮเพอร์เรียน (Hyperion) ไอแอพิทัส (Iapetus) และโครนัส (Cronus) และให้กำเนิดเทพธิดา 6 องค์ นามว่า เธีย (Thea) รีอา (Rhea) ธีมิส (Themis) ธีทิส (Thetis) เนโมซินี (Nemosyne) และฟีบี (Phoebe) เทพบุตรและเทพธิดาทั้ง 12 องค์นี้มีขนาดร่างกายใหญ่มหึมา เรียกว่า ไทแทน (Titan) หรือ ไจแกนทีส (Gigantes) ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โตนี้เอง ทำให้จอมบิดาอูรานอสหวาดหวั่น จึงได้จับเทพไทแทนทั้งหมดโยนลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัส (Tartarus) ซึ่งเป็นขุมนรกส่วนที่ลึกที่สุดในยมโลกที่มืดมิด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดใช้พลังเป็นปฏิปักษ์กับจอมบิดาได้ ต่อมา จอมมารดาจีอาก็ให้กำเนิดโอรสที่ดุร้าย แถมมีร่างกายที่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก คือ เป็นยักษ์ 50 หัว 100 แขน จำนวน 3 ตน คือ คอตทัส (Cottus) เบรียรูส (Briareus) และไกจีส (Gyges) อูรานอสรู้สึกกลัวในความดุร้ายของยักษ์ 50 หัวพวกนี้ จึงจับพวกเขาโยนลงไปขังในตรุทาร์ทะรัสอีก ต่อมาจอมมารดาจีอาก็ให้กำเนิดโอรสเป็นยักษ์ตาเดียว เรียกว่า ไซคลอปส์ (Cyclops) อีก 3 ตน มีนามตามลำดับว่า ฟ้าลั่น-บรอนทีส (Brontes) ฟ้าแลบ-สเทอโรพีส (Steropes) และแสงสว่างวาบ-อาจีส (Arges) จอมบิดาอูรานอสก็จับไซคลอปส์ทั้งสามโยนลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัสอีกเช่นเดียวกัน ด้วยแสงสว่างจากไซคลอปส์ทั้งสาม ในตรุทาร์ทะรัสที่มืดมิดจึงพอมองเห็นกันได้ เมื่อเริ่มมองเห็นแสงเทพไทแทนก็เริ่มคิดหาทางเป็นไทแต่ก็หาวิธีออกจากตรุทาร์ทะรัสไม่ได้ ฝ่ายจอมมารดาจีอานั้นรู้สึกไม่พอใจที่อูรานอสจับลูกๆ ลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัสทั้งหมด แต่แม้จะห้ามปรามอย่างใรอูรานอสก็ไม่ฟัง จอมมารดาจีอาจึงลงไปที่ตรุทาร์ทะรัสและยุยงลูกๆ ให้ร่วมคิดกันแย่งอำนาจจากบิดาให้จงได้ แม้เทพไทแทนจะอยากเป็นอิสระจากตรุทาร์ทะรัส แต่เมื่อคิดถึงการต้องไปต่อสู้แย่งชิงอำนาจจากจอมบิดาอูรานอสก็ไม่มีใครกล้าพอ ยกเว้นโครนัสน้องสุดท้องคนเดียวที่กล้าจะทำตามคำยุยง จอมมารดาจีอาจึงช่วยโครนัสให้หลุดจากพันธนาการ และมอบเคียวให้เป็นอาวุธเพื่อไปสู้กับจอมบิดา ตกกลางคืนโครนัสก็ไปแอบรอท่าอยู่ใต้เตียงอูรานอสกับจีอา เมื่ออูรานอสหลับ โครนัสก็ถือเคียวอาวุธคู่มือเข้าจู่โจมจอมบิดาอูรานอสโดยไม่ให้รู้ตัว อูรานอสกำลังน้อยกว่าแถมไม่รู้ตัวมาก่อนทำให้เสียเปรียบ ยิ่งต่อสู้กันนานไปก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลทั่วร่าง เลือดของอูรานอสแต่ละหยดเมื่อตกต้องผืนแผ่นดินก็กลายเป็นยักษ์ ภูติอีรินิส และพรายน้ำ จำนวนมาก ในที่สุดอูรานอสก็พ่ายแพ้และถูกโครนัสใช้เคียวตัดอัณฑะขว้างทิ้งลงทะเลและยึดอำนาจบนเขาโอลิมปัสไปได้ ก่อนจะสิ้นชีวิตอูรานอสได้กล่าวสาปแช่งโครนัสว่าวันหน้าขอให้โครนัสถูกลูกของตนเองแย่งชิงอำนาจไปเหมือนกับที่ตนเองถูกกระทำ โครนัสจัดแจงปล่อยเทพไทแทนทั้งหมดออกจากขุมนรกทาร์ทะรัส ซึ่งเทพไทแทนทุกองค์รู้สึกปิติยินดีในอิสรภาพเป็นอย่างยิ่งจึงพร้อมใจกันยกให้โครนัสเป็นเทพบิดาปกครองเทพทั้งมวลอยู่ที่เขาโอลิมปัส |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น